วันเสาร์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2554

18 วิธีสร้างสุขในชีวิตเมือง

18 วิธีสร้างสุขในชีวิตเมือง

ผู้หญิง

18 วิธีสร้างสุขในชีวิตเมือง Make a city life happier (Twenty-four seven)

          "ติ๊งต่อง ๆ...รับความสุขเพิ่มไหมคะ"

          คงจะดีไม่น้อย ถ้าร้านสะดวกซื้อมี "ความสุข" อัดกระป๋อง หรือแช่แข็งไว้รอจำหน่ายให้คุณได้เลือกซื้อกันอย่างง่ายดาย แต่โลกความจริงไม่เป็นเช่นนั้น...

          ใคร ๆ ต่างก็มองหาความสุขกัน เพราะปัจจุบันหันไปทางไหน ก็เจอแต่คนมีความเครียดและความทุกข์กันมากมาย อาจเพราะผลพวงของพิษเศรษฐกิจและปัญหาต่าง ๆ ที่รุมเร้า บางทีความสุขอาจไม่ใช่อะไรที่ไกลตัวง่าย ๆ แค่เพียงหลับตา และหยุดอยู่กับตัวเองสักพัก

          แต่กับชีวิตเมืองที่มีความเจริญก้าวหน้าและสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ พัฒนาขึ้นทุกวัน หนทางของการสร้างความสุขก็อาจมีให้เลือกได้มากขึ้น 24-7 วันนี้ ขอพาคุณมาสร้างสุขด้วย 18 วิธีเหล่านี้ แม้ในชีวิตเมืองที่รีบเร่ง แต่โลกทั้งใบของคุณจะหยุดหมุนกับความสุขที่เติมเต็มมา แม้จะเพียงแค่ชั่วเวลาหนึ่งก็เพียงพอแล้ว

1.ออนไลน์-สายแห่งความสุข

          ณ วันนี้คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ หากจะกล่าวว่าอินเทอร์เน็ตกลายเป็นสิ่งที่ได้รับความนิยม จนแทรกซึมเข้าสู่กิจกรรมในชีวิตประจำวันของคนทั่วโลกไปแล้ว สำหรับการผ่อนคลายสร้างความสุขโดยการใช้อินเทอร์เน็ต คุณสามารถเลือกได้หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการเล่นเกม อ่านบทความที่น่าสนใจ แชทกับเพื่อนฝูง หรือจะ Make Friendsกับเพื่อนต่างชาติก็ได้ รวมถึงการเข้าไปทิ้งข้อความให้เพื่อนใน hi5 เพียงแค่นี้โลกส่วนตัวในชีวิตเมืองของคุณ แม้จะเงียบในบางครั้งแต่ก็จะไม่พบกับความเหงา


ปลูกต้นไม้

2.ปลูกต้นไม้คลายเครียด

          ต้นไม้นอกจากช่วยลดโลกร้อนแล้ว ยังช่วยสร้างความสุขให้กับคุณได้ เพราะต้นไม้สามารถทำให้คนรู้สึกสบายใจขึ้น นักบำบัดแห่งโรงพยาบาลเพื่อการฟื้นฟูในสหรัฐอเมริกา ค้นพบว่า การให้ผู้ป่วยได้สัมผัสกับธรรมชาติอยู่เสมอ จะทำให้สภาพจิตใจดีขึ้นตามลำดับ เพราะต้นไม้มีผลต่อสภาพจิตใจในส่วนลึกของมนุษย์ การใช้เวลาไปกับการปลูกต้นไม้ จะทำให้จิตใจเพลิดเพลินได้อย่างไม่รู้ตัว คุณสามารถปลูกต้นไม้ที่บ้านก็ได้ หรือผู้ที่อยู่ในอพาร์ตเมนต์ก็สามารถสร้างสวนในกล่อง หรือพื้นที่ว่างเล็ก ๆ ในห้องก็ได้

3.หนังสือสร้างกำลังใจ

          เสกสรรความสุขง่าย ๆ ก่อนเข้านอนด้วยการอ่านหนังสือ ยิ่งเป็นแนวสร้างกำลังใจยิ่งดี เพราะช่วงเวลาเข้านอน ร่างกายต้องการผ่อนคลายที่สุด และต้องการหลับฝันดี จึงเป็นช่วงเวลาที่ควรมีความคิดเป็นบวก เพราะนอกจากร่างกายถึงเวลาผ่อนคลายแล้ว จิตสำนึกก็ถึงเวลาต้องพักด้วยเช่นกัน จิตใต้สำนึกที่ได้รับข้อมูลดี ๆ ก่อนนอนจึงมีประโยชน์สูง เพราะมันจะจดจำเนื้อหาได้แม่นยำ และเก็บไว้ได้นาน และทำให้เราซึมซับความดีงามนั้นให้งอกงามในตัวเรา เราจะกลายเป็นคนที่มีความสุขได้อย่างง่าย ๆ

4.สำราญกับงานอดิเรก

          การแสวงหาความสุขเติมเต็มให้กับชีวิตนั้นนับเป็นเรื่องปกติ โดยที่แต่ละคน ต่างก็อาจมีงานอดิเรกที่เพิ่มพูนความสุขทางใจต่างกันออกไป คุณควรหาอะไรที่ชอบทำในเวลาว่าง เพราะการได้ทำในสิ่งที่เราชอบ ย่อมเกิดความสุขเพลิดเพลินหนำซ้ำยังทำให้ไม่มีเวลาว่างพอ ที่จะให้คุณได้คิดกังวลเรื่องต่าง ๆ เป็นการฝึกการใช้เวลาว่างนั้น ๆ ให้มีสมาธิ จิตที่มีสมาธิก็เป็นจิตที่เข้มแข็ง ไม่หวั่นไหวง่าย และคุณก็ยังได้ความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ จากงานของคุณเองอีกด้วย


shopping


5.Chill Out @ Lifestyle Mall

          คนเมืองจำนวนมากถวิลหาความเป็นธรรมชาติ เพื่อเสพความสุขจากสิ่งเหล่านี้ให้มากขึ้น แต่ก็ไม่อยากทิ้งความสะดวกสบาย Lifestyle Mall รูปแบบของศูนย์การค้าที่เน้นความเป็นส่วนตัว และผสมผสานความร่มรื่นของธรรมชาติเข้าไว้ด้วยกัน จึงกลายเป็นสถานที่ที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมาก และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งสถานที่ ที่คุณจะสามารถแวะเข้าไปเติมสีสันให้ชีวิตด้วยการช้อปปิ้ง หรือนั่งแฮ็งเอาต์กับเพื่อน ๆ ก็ได้

6.พักผ่อนกายใจกับโลกส่วนตัว

          เวลาคุณภาพที่ดีที่สุดคือ การให้เวลากับตัวเองด้วยกิจกรรมดี ๆ มากมาย ทั้งการดูแลร่างกายและหัวใจ ที่คุณสามารถไปทำคนเดียวได้อย่างสบาย เช่น การเข้าสปาการนวด หรือจะไปดูหนังในโรงภาพยนตร์หรือนั่งดู DVD อยู่ที่บ้านก็ได้ความเป็นส่วนตัวไปอีกแบบ รวมถึงการฟังเพลงสบาย ๆ อย่างเลือกเพลงแจ๊ซ หรือเพลงคลาสสิกก็ดีเพราะคลื่นสมองเราจะทำงานได้สงบดีขึ้น

7.ออกกำลังกายให้สดชื่น

          สุขภาพทางกายและสุขภาพทางจิตมีอิทธิพลต่อกันและกัน คนที่มีสุขภาพกายดีย่อมส่งผลให้มีจิตใจร่าเริงเข้มแข็ง นักจิตวิทยาบอกไว้ว่า การที่เราได้ออกกำลังกายให้สารเอนดอร์ฟินหลั่ง จะทำให้เรามีความสุขมากขึ้น ลองหันมาออกกำลังกายกันบ้างไม่ว่าจะวิ่งจ๊อกกิ้ง ว่ายน้ำ เต้นแอโรบิกอยู่บ้านเปิดเพลงมันส์ ๆ เต้นออกแรงให้เต็มที่ หรือแค่ลองเปลี่ยนจากขึ้นลิฟต์ ไปเป็นการเดินขึ้นบันไดก็ได้เหงื่อดีไม่หยอก


สัตว์เลี้ยง

8.สัตว์เลี้ยง-เพื่อนรู้ใจ

          สำหรับคนขี้เหงา ลองเลี้ยงสัตว์ดู สุนัขแมว หรืออะไรก็แล้วแต่ นี่เป็นการสร้างความสุขอย่างหนึ่ง เพราะนักจิตวิทยาค้นพบว่าผู้ที่มีสัตว์เลี้ยง และมอบความรักให้พวกมัน เป็นกลุ่มที่มีความสุขกว่าผู้ที่ไม่เลี้ยงสัตว์เลย และอีกอย่างสัตว์เลี้ยงที่บ้านก็เก็บความลับเก่งด้วย ดังนั้นถ้าคุณมีเรื่องไม่สบายใจอะไรแต่ไม่อยากให้ใครรู้ คุณก็สามารถเล่าให้มันฟังได้

9.Night Life กับแก๊งก๊วน

          ค่ำคืนของกรุงเทพฯ ไม่เคยหยุดนิ่งและหลับใหล และพร้อมเป็นเวลาที่จะให้คุณได้ออกไปแฮ็งเอาต์ให้มันส์สุดๆ กันเสียทีสำหรับปาร์ตี้แสนสนุกกับเพื่อน ๆ ไม่ว่าจะเป็นก๊วนเดิมที่คุณห่างหายไปเสียนาน หรือก๊วนใหม่ที่รอคอยการมาเยือนของคุณ ณ ผับ บาร์ ร้านอาหารเคล้าเสียงดนตรีตามสไตล์ที่คุณชื่นชอบ แค่นี้เวลาแห่งความสุขสุดเหวี่ยงของชีวิตคุณก็กลับมาอีกครั้ง

10.หาสิ่งยึดเหนี่ยวทางใจ

          ในแต่ละวันแน่นอนว่าแต่ละชีวิตย่อมต้องเผชิญทั้งความสุขและทุกข์ เราจึงควรหาที่ยึดเหนี่ยวใจหรือผ่อนคลายจากปัญหาที่รุมเร้า อาจจะเป็นการเข้าวัดฟังธรรม นั่งสมาธิ เพื่อใจจิตใจสงบและมีความสุขขึ้น หรือหาเพื่อนสนิทที่สามารถจะระบายทุกข์ ปรึกษาขอความคิดเห็น และแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ด้วยได้


ครอบครัว

11.สานสัมพันธ์ครอบครัว

          รู้ไว้ว่าคุณไม่ได้โดดเดี่ยวตัวคนเดียวในเมืองใหญ่ ลองหันมาใส่ใจสมาชิกในครอบครัวบ้าง นอกเหนือเวลางานแล้วคุณน่าจะหาเวลาทำกิจกรรมกับคุณพ่อคุณแม่ พี่น้อง และหลาน ๆ บ้าง โดยอาจพากันไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ ไปปิกนิกในสวนสาธารณะ พาหลาน ๆ ไปเที่ยวเล่นในสวนสนุก หรือจัดปาร์ตี้บาร์บีคิวทานกับหมู่ญาติ ๆ ในบ้านหลังใหญ่ของคุณก็ได้

12.หาสิ่งใหม่ ๆ เข้ามาในชีวิต

          การได้ลองทำอะไรใหม่ ๆ ที่ไม่เคยทำมาก่อนอย่างการเรียนทำอาหาร หรือว่าจะลองเข้าคลาสเรียนเต้นดูก็ได้ สิ่งที่เราไม่เคยทำมาก่อนพอได้ลองทำดู จะเกิดความตื่นเต้น ท้าทายและพอทำได้เราก็จะแฮปปี้กับมัน นอกจากนั้นลองออกไปตามห้างฯ เพื่อติดตามและอัพเดทเทคโนโลยีเครื่องเล่นไฮเทคต่างๆ ดู ก็จะให้ชีวิตคุณอินเทรนด์และดูมีอะไรใหม่ ๆ ขึ้นเยอะ

13.ชื่นชมศิลปะ

          สำหรับคนรักงานอาร์ต หรืออยากเพิ่มรอยหยักในสมองด้วยการเสพงานศิลป์ เดี๋ยวนี้ในห้างสรรพสินค้าหรือแกลเลอรี่ต่าง ๆ ก็มีงานนิทรรศการน่าดูมากมาย ลองหาโอกาสไปเดินเล่นดู จะเป็นงานอาร์ต งานภาพถ่ายหรือว่างานเพลงพวกออร์เคสตร้า งานเต้นบัลเล่ย์ละครเวที สิ่งที่น่าสนใจเหล่านี้ ทำให้เราเห็นถึงความสามารถของคนทำและแรงบันดาลใจ ที่น่านำมาเป็นต้นแบบในการทำฝันให้กับตัวเอง


ความรัก

14.การมีความรัก

          ขั้นแรกอย่างการตกหลุมรัก จะทำให้สารเคมีในร่างกายที่เรียกว่าสารฟีนิลเอธิลามีน ซึ่งเป็นยาตัวหนึ่งในกลุ่มของแอมเฟตามีนหลั่งออกมา และทำให้ฮอร์โมนอะดรีนาลินหลั่งมาอีกทอดหนึ่ง ก่อให้เกิดปฏิกิริยาในร่างกาย เช่น ใจเต้นแรง หน้าแดง ความรักขั้นสองเป็นทั้งความรัก เป็นทั้งมิตรภาพ และความห่วงใย ความรักในระยะนี้จะมีสารเคมีอีกตัวหนึ่งที่เรียกว่าเอนดอร์ฟิน เป็นสารแห่งความสุขหลั่งออกมา สารตัวนี้ช่วยเพิ่มภูมิต้านทานโรค และรักษาโรคได้

15.ปล่อยวางสิ่งผูกรัดตัว

          เข้าใจว่าคุณเป็นคนทุ่มเทและตั้งใจทำงาน แต่ลองให้เวลากับตัวเองบ้าง ลดความบ้างาน บ้าเงิน บ้าอำนาจ บ้าเกียรติยศชื่อเสียงลงบ้าง อย่ามัวติดยึดกับเรื่องเหล่านี้ ก็จะทำให้คุณไม่รู้สึกเครียดกับการต้องคอยกดดันตัวเองให้ทำงานหนัก และแข่งขันกับคนรอบข้าง การปล่อยวางและพูดคุยกับตัวเองบ้างก็คงดีไม่น้อยลองแบ่งเวลาวันละ 1 ชั่วโมง ล้างจิตใต้สำนึกที่ไม่ดีออกไปให้หมด เราก็จะรู้สึกว่าชีวิตโล่งและเบามากขึ้น

16.มองตัวเองในแง่ดี

          คุณเป็นแบบนี้ไหม พอนึกถึงตัวเองทีไรก็มองแต่ด้านลบของตัวเอง ทำไมเราอ้วนจัง ทำไมเราหุ่นไม่ดี ทำไมเราไม่เก่งเหมือนคนอื่น จริง ๆ แล้วเพื่อนหรือว่าคนที่แคร์เรา เขาไม่ได้มองเห็นคุณค่าของเราที่ตรงนั้นเสมอ ลองนึกถึงสิ่งที่เพื่อน ๆ บอกดูว่าเขารักเราเพราะอะไร มันจะทำให้รู้สึกดีกับตัวเองและมีความสุขมากขึ้น

กลิ่นหอม


17.กลิ่นหอมบำบัดหรือ Aromatherapy

          กลิ่นเหล่านี้ได้มาด้วยการสกัดจากพืชพันธุ์ธรรมชาติหลายชนิด ทั้งสมุนไพรดอกไม้ ผลไม้ เป็นต้น การใช้กลิ่นหอมบำบัดจะช่วยฟื้นคืนความสุขคุณได้เป็นอย่างดี คุณอาจลงแช่ในอ่างอาบน้ำผสมสบู่หอม ๆ ตามด้วยโลชั่นกลิ่นผลไม้ หรือจะหาแฮนด์โลชั่นมาทามือในขณะที่ทำงานอยู่ในออฟฟิศก็ได้ กลิ่นหอมๆจะช่วยให้การทำงานของคุณรู้สึกผ่อนคลายได้มาก

18.เสกสรรปันสุขให้ผู้อื่น

          ความสุขที่ยิ่งใหญ่มักเกิดจากการให้ เพียงแค่คุณใส่ใจกับกิจกรรมเพื่อสังคมที่พบเห็นอยู่ทั่วไปบ้าง แล้วการให้จะทำให้คุณอิ่มใจมากมาย แรกเริ่มคุณอาจแค่เก็บของที่ไม่ใช้แล้ว เช่น เสื้อผ้า รองเท้า เฟอร์นิเจอร์เก่า ๆ ไปบริจาคให้ผู้เดือดร้อน หรือสมัครเป็นอาสาสมัครทำงานบริการชุมชน ช่วยเหลือสังคมหรือผู้ตกทุกข์ได้ยากที่อยู่รอบตัว จะช่วยให้คุณใช้ชีวิตอย่างมีจุดหมายและมีความสุขยิ่งขึ้น

          ความสุขเป็นยอดปรารถนาของมนุษย์ที่สามารถแสวงหาได้ บางทีอยู่ที่ไหนไม่ไกล อาจลอยอยู่รอบ ๆ ตัวเรา ง่ายดายแค่มือคว้า อย่างที่อับราฮัม ลินคอล์น อดีตประธานาธิบดีอเมริกันเคยกล่าวไว้ "คนส่วนใหญ่มีความสุขได้เท่ากับที่พวกเขาตัดสินใจให้ตัวเองมีความสุข"

กิน (มาก) อย่างไร ถึงจะท้องไม่ผูก

กิน (มาก) อย่างไร ถึงจะท้องไม่ผูก


เคล็ดลับสุขภาพ


กิน (มาก) อย่างไร ถึงจะท้องไม่ผูก (Men's Health)

          ปีใหม่กับงานเลี้ยงเป็นของคู่กัน และมีให้เลี้ยงกันหลายงานหลายกลุ่ม นอกจากความสนุกสนานชื่นมื่น แถมอาหารก็อร่อยจนอิ่มแปร้ ก่อนนอนถ้าไม่มึนจนหลับไปก่อน บางคนก็คิดล่วงหน้าว่าเช้าวันรุ่งขึ้นสถานการณ์ จะเป็นเช่นไร ชวนให้คิดถึงอาการจุกแน่น แต่คนที่อาการหนักหน่อยก็จะคิดถึงเรื่อง "ท้องผูก"

อาการอย่างไรเรียกว่าท้องผูก

          หลายคนคิดว่าพอไม่ถ่ายวันเดียวก็ถือว่าท้องผูกแล้ว แต่ตามหลักการนั้นคนเราไม่จำเป็นต้องถ่ายทุกวัน

          บางคนอาจจะถ่ายมากกว่าวันละ 1 ครั้ง หรือบางคนอาจจะ 3 วันครั้ง ก็ยังถือว่าลำไส้ทำงานเป็นปกติ แต่ถ้าเลยไปถึงวันที่ 4 5 6 ก็เตรียมใจไว้ได้ นอกจากอาการกระอักกระอ่วนแล้ว ถ้ากังวลใจจนเกินเหตุ สถานการณ์อาจจะซ้ำเติมแย่ลงไปอีก เพราะลำไส้จะบีบตัวไม่สม่ำเสมอ กลายเป็นท้องผูกแบบหดเกร็งทำให้ไม่ถ่ายได้ เพราะฉะนั้นควรทำใจให้สบาย ๆ เข้าไว้ และเริ่มมองหาอาหารที่จะช่วยให้ถ่ายดีกว่า

          แต่ก่อนที่จะมองหาอาหาร คุณต้องเข้าใจก่อนว่า ท้องผูกกับอาหารนั้นเป็นของคู่กัน ในบรรดาอาหารเหล่านี้แบ่งได้เป็น อาหารที่มีกากใยอาหารซึ่งละลายในน้ำ และไม่ละลายในน้ำ

          อาหารที่ละลายในน้ำ เช่น บรรดาแป้งขัดขาวต่าง ๆ นม เนย เป็นต้น อาหารที่ไม่ละลายในน้ำ มีคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เช่น ข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต ขนมปังโฮลวีต และธัญพืช รวมทั้งอาหารจำพวกผักต่าง ๆ เกือบทุกชนิด ผลไม้ที่มีกากใยมาก เช่น สับปะรด ฝรั่ง เป็นต้น

          นอกจากนี้ตัวแปรที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ "น้ำ" เมื่อคุณกินอาหารที่มีกากใยน้อยและยังกินน้ำน้อยอีก (วันหนึ่งควรดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อย 2 ลิตร หรือประมาณ 8-10 แก้ว) กากอาหารที่ค้างอยู่ในลำไส้จะมีลักษณะแห้งแข็ง เนื่องจากน้ำในกากอาหารจะถูกดูดออกไป ทำให้ขับออกลำบาก ความดันในลำไส้ก็เพิ่มขึ้น ทำให้รู้สึกไม่สบายท้อง เกิดภาวะอาการ "ลมหวน" อันไม่พึงปรารถนาทั้งของตนเองและคนรอบข้าง ยิ่งมีกากอาหารค้างอยู่ในลำไส้เท่าไร กากอาหารนั้นจะยิ่งแข็ง เพราะน้ำถูกดูดออกไปหมด ทำให้ขับถ่ายลำบากยิ่งขึ้น และการกินอาหารที่มีกากใยน้อย และน้ำน้อยยังทำให้ลำไส้ไม่มีการบีบตัวอีกด้วย

          การบีบตัวของลำไส้ อาจจะพอแก้ได้ถ้าคุณเป็นคนออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพราะการออกกำลังกายจะไปช่วยการบีบตัวของลำไส้ ทำให้ถ่ายง่ายขึ้น ฉะนั้นใครที่กินอาหารกากใยน้อย แต่ออกกำลังกาย ก็ยังพอมีความหวัง แต่แค่นี้ยังไม่พอ เพราะการถ่ายทุกวันหรือถ่ายคล่องนี้ ตามหลักการบอกว่า ต้องสร้างกันจนเป็นนิสัย เช่น ถ่ายทุกเช้า เปรียบเหมือนเราเข้าไปจัดระบบหรือลงทะเบียนกับร่างกายไว้แล้ว ให้เกิดความเคยชิน ถ้าปฏิบัติตัวได้ครบดังที่กล่าวมา ปัญหาท้องผูกหรือถ่ายลำบาก ซึ่งหนักหน่วงก็จะดีขึ้นหรือไม่เกิดปัญหาเลย


อาหารเพื่อสุขภาพ

ควรเลือกกินอะไรในงานเลี้ยง

          ว่าไปแล้วถ้าคุณเป็นคนมีทุนรอนอยู่บ้าง เช่น ถ่ายทุกวัน ออกกำลังสม่ำเสมอ ก็คงไม่เจอปัญหาหนัก แต่ในงานเลี้ยงแน่นอนว่า คุณต้องฉลองกันเต็มที่หน่อย จึงกินมากเป็นพิเศษ อาหารอย่างแรกในงานที่แนะนำว่าคุณควรวิ่งไปหาก่อนเพื่อนคือ สลัด

          สลัด พยายามเลือกกินผักทุกสีให้ครบ 7 สี (ซึ่งส่วนใหญ่จะมีให้เลือกพอ) เพราะนอกจากจะได้วิตามินจากผักต่าง ๆ ที่มีอยู่ครบถ้วนแล้ว ผักเหล่านี้มีกากใยแน่นอน และไม่ควรเลือกเฉพาะผักสลัดใบเขียว ควรเลือกผักหัว เช่น บรอกโคลี ดอกกะหล่ำ ถั่วหวาน ฟักทอง ข้าวโพด แครอต มะเขือเทศ เป็นต้น

          ผักสำคัญที่ควรตั้งใจหาในหมวดนี้คือ หน่อไม้ฝรั่ง เพราะมีสรรพคุณเป็นยาระบายอ่อน ๆ และยังช่วยขับปัสสาวะอีกด้วย ผักเหล่านี้ล้วนแต่มีกากใยที่ละลายน้ำ ซึ่งคุณควรหยิบฉวยกินเป็นต้นทุกไว้ก่อน ส่วนจะเลือกน้ำสลัดแบบข้นหรือใส ไม่ได้ขึ้นกับปัญหาเรื่องท้องผูก แต่ขึ้นกับเรื่องคอเลสเตอรอล ฉะนั้น อนุญาตให้เลือกได้ตามชอบ

          ธัญพืช สลัดในงานเลี้ยงบางครั้งอาจจะไม่มีธัญพืช เช่น ข้าวบาร์เลย์ ถั่วแระญี่ปุ่น เพราะดูเหมือนซุ้มสลัดเกินไปหรือดูไม่พิเศษ แต่ปัจจุบันกระแสสุขภาพมาแรง ธัญพืชเหล่านี้อาจจะไม่อยู่ในสลัด แต่จัดวางตกแต่งไว้เป็นอาหารเครื่องเคียงของอาหารจานหลัก เช่น ไก่อบ เนื้ออบ ที่เรามักจะเห็นถั่วสีขาว ๆ เขียว ๆ แดง ๆ ถั่วสีขาวอาจจะไม่ใช่ข้าวบาร์เลย์ก็ได้ แต่เป็นถั่วขาว เม็ดกลมรีของอิตาเลียน มีรสชาติมัน ๆ ซึ่งไม่ควรพลาดเช่นกัน บางครั้งถั่วขาวนี้อาจจะไปอยู่ในซอสมะเขือเทศ (อย่างที่เราเคยเห็นถั่วขาวในซอสมะเขือเทศที่กินกับไส้กรอก)

          ขนมปัง แน่นอนว่าควรเลือกชนิดที่ทำจากแป้งโฮลวีตใส่ธัญพืช ซึ่งมีให้เลือกหลากหลายมากมายชนิด สำหรับใครที่ยังไม่แน่ใจและไม่คุ้นเคย ควรถือโอกาสนี้เลือกชิมไปเลยว่า คุณชอบชนิดใด มีทั้งที่ใส่เมล็ดทานตะวัน งา แฟลกซ์ซีด (เมล็ดจากฝ้ายชนิดหนึ่ง) และยังมีขนมปังผสมเนื้อฟักทองหรือผักโขมอีก หลังจากชิมแล้วก็ควรหัดรับประทานจนเป็นนิสัย

          อาหารประเภทโปรตีน หมวดนี้ต้องแล้วแต่ความชอบ ที่สำคัญควรพิจารณาจากปัญหาเรื่องคอเลสเตอรอลมากกว่า เพราะทุกคนย่อมรู้อยู่แล้วว่าโปรตีนมักจะมีไขมันประกอบอยู่ด้วย ไขมันเมื่อเกินความจำเป็นจะไปพอกพูนอยู่ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย (ข้อที่น่าห่วงคือ เรามักชะล่าใจกันว่ากินแค่ไม่กี่วัน ไม่กี่ครั้ง ก็ไม่น่าจะอ้วน แต่อย่าลืมว่าความอ้วนนั้นสัมพันธ์กับอายุ) ถ้าเป็นคนที่ท้องไส้ย่อยยาก หรือระวังเรื่องสุขภาพก็ควรพยายามมองไปทางอาหารประเภทปลา

          ผลไม้ช่วยย่อย ของหวานปิดท้ายนี้เป็นของโปรดของทุกคน ถ้าคุณมั่นใจว่ากินแล้วลดน้ำหนักได้ หรือท้องไม่ผูกเพราะกินผักตุนไว้แล้ว ก็เลือกกินเค้กทุกชนิดได้ตามชอบ เพื่อให้สมกับเป็นวันปีใหม่ ส่วนผลไม้ที่นิยมในงานเลี้ยงนั้นก็มีกากใยทุกชนิดโดยเฉพาะสับปะรด ใครกินเนื้อสัตว์มาก ๆ อย่าลืมกินสับปะรดตาม เพราะช่วยย่อยได้

          ผลไม้พิเศษถ้ามีในงาน อย่าลืมมองหาลูกพรุนและเชอร์รี เพราะมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อน ๆ ลูกพรุนสดในบ้านเราคงหาไม่ค่อยได้ ลูกพรุนแห้งจะแอบซ่อนเป็นส่วนผสมของเค้กหรือมูสต่าง ๆ เหมือนกับเชอร์รีกลิ่นหอม ลูกกลมแดง สีสวย รสเปรี้ยวอมหวาน แต่เห็นง่ายกว่าหน่อย เพราะนิยมนำมาแต่งหน้าเค้ก

          ปีใหม่นี้ถ้าใครไปงานเลี้ยงหลาย ๆ งานคงต้องสะกิดเตือนตัวเองและคนรอบข้างให้มีหลักการในการกินสักนิด โดยเฉพาะงานเลี้ยงสไตล์อาหารฝรั่ง แต่ถ้าเป็นอาหารไทยคงไม่มีปัญหา เพราะอาหารไทยล้วนแต่มีผักเป็นส่วนผสมและส่วนประกบอี่สำคัญ เช่น น้ำพริก ยำต่าง ๆ ที่ชวนให้กินผักมากอยู่แล้ว
          รับรองว่าถ้าคุณปฏิบัติได้ตามนี้ นอกจากอิ่มเอมใจแล้ว น่าจะนอนหลับ ฝันดี และไร้กังวล ในยามตื่นขึ้นมาอีกด้วย

วิธีแก้ท้องผูกตามธรรมชาติ

          4 วิธีง่าย ๆ ที่จะช่วยให้คุณหมดกังวลเรื่องท้องผูก

          น้ำลูกพรุน ดื่มประมาณ ½ ถ้วยก่อนนอน

          มะขามเปรี้ยว นำมะขามเปรี้ยวประมาณ 5-10 ฝัก มาต้มจนนุ่ม กรองน้ำแล้วผสมเกลือเล็กน้อย ดื่มก่อนนอน เนื้อในของมะขามจะมีรสเปรี้ยว ใช้เป็นยาระบาย ขับเสมหะได้อย่างดี และยังช่วยลดความร้อนในร่างกายด้วย

          เมล็ดแมงลัก เมล็ดแมงลัก 2 ช้อนชา ผสมกับน้ำอุ่นประมาณ 1 แก้ว พักไว้ประมาณ 30 นาที จนพองเต็มที่ ผสมน้ำเพิ่มแล้วดื่มหรือจะดื่มกับน้ำหวานตามชอบก็ได้ เมล็ดแมงลักมีเมือกขาว ทำให้อุจจาระไม่เกาะลำไส้ ถ่ายสะดวกและช่วยเพิ่มปริมาณอุจจาระ ซึ่งจะไปกระตุ้นประสาทที่อยู่รอบ ๆ ลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย ทำให้เกิดปวดท้องหนัก

          รำข้าว ชงรำข้าว 1-2 ช้อนโต๊ะ กับน้ำร้อนดื่มพร้อมอาหารเย็น (ควรดื่มน้ำมากขึ้น) จะช่วยเพิ่มปริมาณอุจจาระ ทำให้อุจจาระนุ่ม และถ่ายคล่องขึ้น และยังมีวิตามินอีและบีอีกด้วย หาซื้อได้ตามร้านอาหารสุขภาพและมังสวิรัติ

กินยาระบายดีไหม

          "ยาระบาย" ไม่ควรกินเป็นประจำจนเป็นนิสัย อาจจะเป็นอันตรายได้เพราะทำให้เกิดภาวะขาดน้ำ โพแทสเซียมในเลือดลดต่ำ นอกจากนี้ยังไปกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ ทำให้ดูดซึมอาหารได้น้อยลง และอาจเสี่ยงต่อการเกิดโรคกระดูกพรุน โดยเฉพาะในผู้สูงอายุและหญิงวัยหมดประจำเดือน

ท่านอนบอกนิสัย น้องหมา

ท่านอนบอกนิสัย น้องหมา


รูปสุนัข


ท่านอนบอกนิสัย น้องหมา (thaidogcenter.com)

          คร๊อกกก ฟี้.... คร๊อกกก ฟี้ zzz เคยสังเกตบ้างไหมคะ ว่าน้องหมาของคุณขี้เซาขนาดไหน เพราะเวลาเกินกว่าครึ่งชีวิตของสุนัข หมดไปกับการงีบหลับเป็นส่วนใหญ่ มีบ้างที่บางรายชอบวิ่งเล่น ซุกซน แต่ก็จะเป็นเฉพาะในกลุ่มลูกสุนัขเท่านั้น พอก้าวสู่วัย 4 ขวบไปแล้ว เจ้าตัวน้อยก็ขยับย้ายตัวช้าลง ไม่ต่างจากคนเราที่เวลาอายุเยอะขึ้น จะทำอะไรสักอย่างก็ไม่แคล่วคล่องว่องไวเท่าตอนวัยรุ่นหนุ่มสาว

          เมื่อการงีบสำคัญกับเจ้าตูบขนาดนี้ เรามาวิเคราะห์พฤติกรรมกันดีกว่าว่า ลีลาท่านอนของสุนัขบ่งบอกอะไรเราได้บ้าง...ลองแอบดูท่างีบประจำตัวของน้องหมาแล้วมาดูสิว่า น้องหมาของคุณมีคาแรกเตอร์แบบไหน


นอนหงาย


รูปสุนัข

          ท่านี้มีชื่อเล่นว่า "ท่าไก่ย่าง" เจ้าตัวน้อยที่มีท่างีบประจำเป็นท่านอนหงาย แบบกางแขนกางขา แสดงว่าเจ้าตัวน้อยของคุณมีความมั่นใจสูง รักอิสระ ชอบเที่ยวเล่น เสน่ห์ประจำตัวคือความสดใส ร่าเริง ซึ่งอาจจะมีมากไปนิดจนบางครั้งอาจสร้างความปวดหัวให้เจ้าของ ทว่าท่านี้โดยธรรมชาติไม่มีตูบตัวไหนทรงตัวอยู่ได้นาน และในความเป็นจริงมีน้อยรายมากที่จะนอนท่านี้นาน ๆ ได้ เพราะสรีระของสุนัขไม่เอื้ออำนวยเท่าที่ควร แต่ถ้าชอบทำท่านี้บ่อย ๆ ทายได้เลยว่าสุนัขตัวนั้นแสบไม่เบาแน่นอน


นอนตะแคง

รูปสุนัข

          ท่าประจำตัวโดยธรรมชาติของสุนัข มักจะถนัดนอนท่านี้กันมากที่สุด และเจ้าของก็มักจะคุ้นเคยที่สุดด้วย คำทำนายที่ซ่อนอยู่ภายใต้ท่านอนอันเหมาะเจาะนี้ แสดงว่าสุนัขของคุณเป็นน้องหมามุ่งมั่น มีสมาธิสูง ในขณะเดียวกันก็หัวอ่อน บางครั้งดูจะเชื่องช้า และเซื่อง ๆ ไปบ้าง แต่ก็มักจะเป็นที่รักใคร่ของเจ้าของ เพราะความขี้อ้อน สุภาพอ่อนหวาน ซึ่งเป็นเสน่ห์มัดใจ ที่สำคัญดูจะเป็นท่าที่เหมาะสม และถูกหลักเกณฑ์ด้านสุขภาพมากที่สุด เพราะกระดูกและกล้ามเนื้อจะวางตัวอย่งเป็นระเบียบ ไม่หดเกร็งหรือถูกทับนาน ๆ เหมือนท่าอื่น


นอนแผ่คว่ำหน้า


รูปสุนัข

          ท่านี้นี่แหละคือ น้องหมาเอาแต่ใจตัวจริง สังเกตง่าย ๆ ว่า เจ้าของท่างีบนี้ นึกจะอยากนอนตรงไหนก็จะล้มตัวลงนอนอย่างไม่เกรงใจใครทันที ที่น่าสนใจคือ เจ้าของท่าประจำนี้มักจะฉลาด สอนง่าย ซื่อสัตย์ แต่บทจะดื้อแล้วก็ดื้อหัวชนฝา ที่สำคัญคือเป็นสุดที่รักของเจ้านายสุด ๆ ก็เพราะความฉลาด ขี้อ้อน ข้อเสียคือ เป็นท่าที่ไม่ค่อยถูกสุขลักษณะการนอนที่ดีสักเท่าไหร่ แต่ส่วนใหญ่ลองได้ติดนอนท่านี้ไปแล้ว ก็จะสบายจนติดเป็นนิสัยไม่อยากเปลี่ยนเลยทีเดียว

นอนขด

          นอนขดที่่ว่านี้คือ ท่านอนที่เก็บแขน เก็บขา ในลักษณะขดเป็นวงกลม ให้นึกถึงเวลานอนในอากาศหนาว ๆ หากเจ้าตูบของคุณมีท่านอนนี้เป็นท่าประจำกาย ขอบอกว่าคุณมีแม่พลอยประจำบ้านแล้ว เพราะท่านอนแบบนี้หากไม่ได้หนาวสั่น นั่นแสดงว่าเจ้าตูบของคุณเป็นพวกสงบเสงี่ยม เรียบร้อย ไม่ชอบสุงสิงกับใคร และมีโลกส่วนตัวสูง ออกไปทางขี้เซานิด ๆ แต่ก็น่ารัก ติดเจ้าของ เป็นผู้ติดตามที่ดี ใครเห็นเป็นต้องตกหลุมรักในความขี้ประจบของน้องหนูเขาล่ะ

นอนตะแคงเอาเท้าปิดหน้า

          หากเจ้าตัวน้อยของคุณชอบนอนท่านี้ ขอแสดงความยินดีด้วย เพราะถือว่าบ้านคุณมี ร.ป.ภ คนเก่ง ที่คอยระวังภัยให้อยู่ตลอด ว่ากันว่าเจ้าตูบที่นอนท่านี้เป็นน้องหมาขี้ระแวง เห็นอะไรไม่ชอบมาพากลเมื่อไหร่ เป็นต้องส่งสัญญาณให้เจ้าของรู้ทันที อีกทั้งยังถือตัวนิด ๆ ไม่สนิทสนมกับใครง่าย ๆ แต่ถ้าลองได้ไว้ใจใครแล้ว รับรองว่าเป็นเพื่อนแท้สุด ๆ อีกทั้งยังมีเสน่ห์ในเรื่องของท่วงท่าที่สง่างาม น่าเกรงขาม แม้จะตัวจิ๋ว แต่เรื่องใจมาเต็มร้อยเลยทีเดียว

แก้รอยสิวด้วยน้ำผึ้งและแอปเปิ้ล

ผิวสวย

แก้รอยสิวด้วยน้ำผึ้งและแอปเปิ้ล
(Woman's Story)

          สาว ๆ คะหลังจากที่สิวหายแล้วก็มักจะทิ้งร่องรอยเอาไว้ ทำให้ใบหน้าของสาวๆ มีจุดด่างดำ ผิวไม่สม่ำเสมอ กว่าจะจางลงก็ต้องเป็นเดือน ๆ ทำให้เซ็งจิตไปตาม ๆ กัน แต่ทุกปัญหามีทางแก้ไขอย่างเพิ่งถอดใจ เพราะรอยสิวที่ว่ายากก็สามารถจัดการได้ เพียงเตรียมแอปเปิ้ลเขียวกับน้ำผึ้ง แล้วตามมาทางนี้ค่ะ

          นำแอปเปิ้ลเขียวครึ่งผลมาบดผสมกับน้ำผึ้งแท้ 1 ช้อนโต๊ะ โดยบดให้ละเอียดผสมเข้ากันให้เป็นเนื้อเดียว จากนั้นนำมาทาบนใบหน้าที่สะอาด ผ่านการทำความสะอาดแล้ว ทาเน้นเป็นพิเศษบริเวณที่เป็นรอยสิว ทิ้งไว้ 20 นาที แล้วล้างออก

          สูตรนี้สามารถทำได้ทุกวันนะคะ นอกจากจะช่วยรักษารอยสิวให้หายเร็วขึ้น ยังช่วยไม่ให้สิวกลับมากวนใจคุณอีกด้วยค่ะ

ผิวสวยด้วยกล้วย

ผิวสวยด้วยกล้วย


           หากพูดถึงทรีทเม้นท์ผิวสวย ผู้หญิงหลาย ๆ คนอาจจะคิดถึงทรีทเม้นท์ราคาแพง หรือผลิตภัณฑ์บำรุงผิวมากมาย แต่เชื่อไหมคะว่า จริง ๆ แล้ว ผิวสวยนั้นไม่ได้มาจากการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ราคาแพงเลยซักนิด หากเรารู้จักแหล่งวิตามินและอาหารผิวที่มีอยู่ในธรรมชาติ แล้วนำมันมาใช้ในการบำรุงผิวในแต่ละวัน

           วันนี้กระปุกดอทคอม ขอหยิบยกเอาเรื่องราวของผลไม้ไทย ๆ ที่มากคุณค่าสำหรับผิวพรรณแต่มักจะถูกมองข้ามอย่าง กล้วย มาฝากกัน ให้สาว ๆ ได้นำมาบำรุงผิวหลาย ๆ รูปแบบดังนี้ค่ะ

   1. สูตรกล้วยเพื่อผิวเนียนนุ่ม นำกล้วยหอมที่เตรียมมาผสมกับน้ำผึ้ง แล้วปั่นให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกัน จนเป็นเนื้อครีมละเอียด จากนั้น ให้คุณล้างหน้าให้สะอาดตามปกติ แล้วนำส่วนผสมที่ได้มาพอกให้ทั่วใบ หน้า (ยกเว้นบริเวณรอบดวงตา และริมฝีปาก) ทิ้งไว้ประมาณ 10 – 15 นาที จึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด ถ้าเป็นไปได้ คุณควรล้างหน้าด้วยน้ำเย็น เพราะจะช่วยทำให้ผิวหน้าคุณชุ่มชื่นขึ้น

   2. สูตรกล้วยเผยผิวสว่างใส นำกล้วย 1 ลูก มาบดผสมกับนมสดครึ่งถ้วยตวง จากนั้นนำส่วนผสมที่เตรียมไว้มาพอกผิวทั้งใบหน้าและลำตัวประมาณ 20 นาที คุณค่าจากน้ำนมจะช่วยให้ผิวสว่างใสขึ้น และโปรตีนจากกล้วยจะทำให้ผิวเนียนนุ่มไปพร้อม ๆ กัน

   3. สูตรกล้วยลดผิวแห้งกร้าน นำกล้วยบดไปพอกบริเวณที่หยาบกร้าน เช่น ข้อศอก หัวเข่า หรือมือ กล้วยจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว และลดความหยาบกร้านลงได้ แต่ต้องทำอย่างต่อเนื่องสัปดาห์ละ 2-3 ครั้งนะคะ ถึงจะเห็นผลได้ทันตา

   4. สูตรกล้วยลดผิวมัน นำกล้วยมาผสมกับน้ำมะนาวและน้ำผึ้ง จากนั้นนำไปพอกหน้าประมาณ 10-15 นาทีแล้วล้างออก จะช่วยเผยผิวสวย และลดความมันได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว อ๊ะ ๆ แต่สูตรนี้ไม่เหมาะกับสาวหน้าแห้งนะคะ เพราะยิ่งจะทำให้หน้าแห้งขึ้นไปอีกได้เลยล่ะค่ะ

   5. สูตรกล้วยเพื่อผิวเนียนกระชับ นำกล้วยมาผสมกับน้ำมันมะพร้าวแล้วพอกหน้าทิ้งไว้ครึ่งชั่วโมง สัปดาห์ละ 2 ครั้ง จะช่วยให้หน้าเนียนใส นุ่มเหมือนกับเด็กแรกรุ่นเลยล่ะ

   6. สูตรกล้วยเพื่อผิวหน้านุ่ม บดกล้วยผสมกับไข่แดงและน้ำนม จากนั้นนำไปพอกบนใบหน้าแล้วทิ้งไว้ 30 นาที สูตรนี้ควรทำก่อนอาบน้ำครึ่งชั่วโมง เพื่อที่จะได้ล้างกล้วยและไข่แดงออกไปพร้อม ๆ กับการอาบน้ำ และทางที่ดีที่สุด ควรล้างหน้าด้วยน้ำอุ่น สูตรนี้เหมาะอย่างยิ่งกับสาวหน้าแห้งค่ะ

           นอกจากนี้ ในกล้วยยังมี โปรตีน คาร์โบไฮเดรต แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก โพแทสเซียม สังกะสี ไนอะซิน วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินซี เบต้าแคโรทีน ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากมายต่อร่างกายอีกด้วย
           ดังนั้นการทานกล้วยยังช่วยในการเสริมสร้างความแข็งแรงของเซลล์ผิว และมีส่วนช่วยบำรุงผิวพรรณให้เนียนนุ่ม และกระชับขึ้นอีกด้วย ดังนั้น เพื่อให้ได้รับประโยชน์จากกล้วยมากที่สุด สาว ๆ ก็ทั้งพอกทั้งทานกล้วยให้ได้วันละลูกไปเลยค่ะ รับรองว่าผลไม้ไทยที่ราคาถูกอย่างกล้วย จะไม่ทำให้สาว ๆ ผิดหวังอย่างแน่นอน